หยุดนี้ที่สุพรรณ
เข้าชม : 3

                   

                   วันนี้เราจะมาแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดสุพรรณ ซึ่งเป็นจังหวัดที่อยู่ใกล้กับจังหวัดกรุงเทพ การเดินทางสามารถเดินทางไปเช้า-เย็นกลับ จะมีที่ไหนบ้างไปดูกัน
 
1. พิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร และศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี (อุทยานมังกรสวรรค์)


                    อุทยานมังกรสวรรค์ คือสถานที่เรียกพื้นที่บริเวณศาลหลักเมืองสุพรรณบุรีที่ปัจจุบันมีการขยับขยายปรับปรุงออกไปอย่างกว้างขวาง ภายในอุทยานมังกรสวรรค์นั้นมีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็น พิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร ที่อยู่ภายในอาคารมังกรขนาดใหญ่ ภายในประกอบไปด้วยนิทรรศการไฮเทค 20 ห้อง ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี ศาลศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นที่เคารพบูชาของชาวสุพรรณมาช้านาน หมู่บ้านมังกรสวรรค์ สถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่เน้นจำลองบ้านเรือนแบบจีนมาให้ได้เดินเล่นถ่ายรูปและทานร้านอาหารขึ้นชื่อต่างๆ และสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ดังนั้นถือได้ว่าอุทยานมังกรสวรรค์เป็นหัวใจของจังหวัดสุพรรณบุรีได้เลยทีเดียว

                    สาเหตุที่สร้าง อุทยาานมังกรสวรรค์ นั้น ก็เพราะในประวัติความเป็นมาชาวไทยและชาวจีนต่างก็มีความสัมพันธ์กันมาอย่างช้านานมาหลายศตวรรษ และชาวจีนที่มาอยู่ในเมืองไทยนั้นต่างก็อยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารด้วยความผาสุขมาโดยตลอด นายบรรหาร ศิลปอาชา จึงร่วมกับพ่อค้า ประชาชน ริเริ่มรวบรวมเงินบริจาคมาออกแบบก่อสร้างอุทยานมังกรสวรรค์เพื่อเป็นนิทรรศการถาวรเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์วัฒนธรรมไทย-จีน และให้เป็นแหล่งความรู้แก่ผู้ที่สนใจทั่วไป

2.พิพิธภัณฑ์บ้านขุนจำนงจีนารักษ์



                    พิพิธภัณฑ์ตลาดมีชีวิต พิพิธภัณฑ์ตลาดมีชีวิตหรือบ้านพูดได้ หมายถึงตลาดสมชุก ตลาดไม้เก่าแก่อายุกว่า 100ปี พัฒนามาจากตลาดเล็กๆ ชุมชนชาวจีนเก่าที่มีการดำรงชีวิตและสภาพบ้านเรือนแบบดั้งเดิมมาเป็นชุมชนเมืองท่าที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจ จุดซื้อแลกเปลี่ยนสินค้าขนาดใหญ่ และเป็นจุดที่พักพ่อค้าล่องเรือขึ้นลงระหว่างกรุงเทพฯกับเมืองต่างๆ ในจังหวัดสุพรรณบุรีตลาดสามชุก ประกอบด้วยห้องแถวทั้งหมด 4 ซอย โดยพื้นที่ซอย 1 และห้องแถวริมน้ำเป็นของ ‘นายหุย แซ่เฮง’ ในขณะที่ซอย 3-4 เป็นของ ‘เถ้าแก่เนี้ยม แซ่โค้ว’ ปัจจุบัน กรรมการพัฒนาตลาดสามชุก จัดทำโครงการพิพิธภัณฑ์ตลาดมีชีวิตหรือบ้านพูดได้ โดยให้บ้านแต่ละหลังในตลาดสามชุกบอกเล่าประวัติเรื่องราวชีวิตของผู้ที่เคยอยู่อาศัยในบ้านผ่านรูปภาพ ข้าวของเครื่องใช้ และของดีที่เจ้าของภูมิใจ คณะกรรมการจะนำป้ายบรรยายของแต่ละบ้านที่เข้าร่วมในโครงการนี้จำนวนมาก ไปติดแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน รวมทั้งบ้านขุนจำนงจีนารักษ์ด้วย บ้านขุนจำนงจีนารักษ์ เดิมเป็นบ้านหลังหนึ่งในตลาดสามชุก เป็นของ นายหุย แซ่เฮง คนจีนเกิดในประเทศไทย ใกล้วัดโพธิ์คอย อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี ประกอบอาชีพค้าขาย มีโรงเหล้าและโรงยาฝิ่น เมื่อเยาว์วันศึกษาเล่าเรียนที่ประเทศจีน กลับเมืองไทยเมื่ออายุ 20 กว่าปี ต่อมาไดสมรสกับ คุณกุ้นเอง แซ่เจ็ง เป็นคนอำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี มีบุตรธิดา 3 คน ต่อมาได้เช่าที่ราชพัสดุปลูกบ้าน 3 ชั้นใน พ.ศ.2459 กิจการค้าขายของท่านเจริญรุ่งเรืองไปถึง 6 อำเภอ ท่านจึงเป็นที่รู้จักของบุคคลทั่วไป ต่อมาได้รับบรรดาศักดิ์เป็นขุนจำนงจีนารักษ์ตำแหน่งกรมการพิเศษ จังหวัดสุพรรณบุรี นายอากรสุรา – ฝิ่น ศักดินา 400 ไร่ จากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2474 ถือว่าเป็นนายอากรคนแรกของอำเภอสามชุก นายหุยเสียชีวิตเมื่อ พ.ศ.2517 รวมอายุได้ 83 บ้านของท่านในส่วนของคุณเคียวยี้ ซึ่งเป็นบุตรสาวของนายโต้วซ้ง จีนารักษ์ อนุญาตให้กรรมการพัฒนาตลาดสามชุก ปรังปรุงเป็นพิพิธภัณฑ์โดยใช้ชื่อ ‘พิพิธภัณฑ์บ้านขุนจำนงจีนารักษ์’ ซึ่งใช้เป็นสถานที่เก็บของโบราณสำหรับผู้สนใจเข้าชมเพื่อศึกษาหาความรู้มาจนถึงปัจจุบัน ‘บ้านขุนจำนงจีนารักษ์’ สร้างขึ้นในสมัยราการที่ 6 ราวปี พ.ศ.2459 เป็นอาคารไม้ 3 ชั้น อายุกว่า 90 ปี ปัจจุบันกลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงนิทรรศการกึ่งถาวร โดยชั้นล่างเปิดโล่งต้อนรับผู้มาเยือน จัดแสดงนิทรรศการถ่ายทอดความเป็นมาของความเจริญจากเมืองหลวงมาสู่ชนบทนี้ได้อย่างไรโมเดลย่อส่วนของตลาด รวมถึงส่วนที่แนะนำร้านค้าและสถานที่ที่น่าสนในภายในตลาด อาทิ ร้านกาแฟท่าเรือส่งบุยช่วยหัตถกิจ ร้านนาฬิกาโบราณ ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสามชุก ร้านถ่ายรูปศิลป์ธรรมชาติ และโรงแรมอุดมโชคตัวแทนของอดีตที่ทำให้เห็นวิถีชาวตลาด นอกจากนี้ ยังมีเรื่องราวความสัมพันธ์ของชาวจีนโพ้นทะเลที่รอนแรมเข้าตั้งถิ่นฐานในจังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีสายน้ำเป็นตัวเชื่อมโยง ส่วนชั้นที่สองยังคงไว้ซึ่งเครื่องเรือนของท่านเจ้าของเดิมเหมือนเมื่อครั้งท่านขุนจำนงจีนารักษ์ยังมีชีวิต ตามฝาผนังประดับประดาด้วยรูปภาพเก่าของครอบครัวจีนารักษ์ และชั้นที่สามเป็นพื้นที่ของนิทรรศการหมุนเวียน ในขณะที่ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ขายหนังสือโปสต์การ์ด และรูปวาดตลาดสามชุกโดยรายได้ส่วนหนึ่งนำไปสนับสนุนกิจกรรมชุมชน

3.สวนเฉลิมภัทรราชินี และหอคอยบรรหาร-แจ่มใส



                    สวนแห่งความรักกลางใจเมืองสุพรรณ หอคอยสีขาวสะอาดตา ท่ามกลางสวนงามและดอกไม้สีสันสดใส ขับกล่อมด้วยเสียงเพลง และลีลาเริงระบำของน้ำพุแสนสวย ยิ่งในช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้า แปรเปลี่ยนให้สถานที่แห่งนี้เป็นดุจสวนสวรรค์
                    โปรแกรมการเดินทางมาท่องเที่ยวเมืองสุพรรณ จะจบลงด้วยความประทับใจ กับความงดงามยามค่ำคืน ด้วยแสงไฟและเสียงเพลง ในช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้า เป็นอีกสถานที่หนึ่ง ที่จะทำให้ความรักของคุณ สวยงามมากมายกว่าทุกวัน     
 
หอคอยบรรหาร-แจ่มใส
                    ตั้งอยู่ใจกลางเมืองสุพรรณบุรี บนถนนนางพิม ตำบลท่าพี่เลี้ยง หอคอยบรรหาร-แจ่มใส เป็นหอคอยแห่งแรกและสูงที่สุดในประเทศไทย มีความสูงถึง 123.25 เมตร มีชั้นสำหรับชมวิวในระดับสูงสุด 78.75 เมตร บนหอได้มีการติดตั้งกล้องส่องทางไกลไว้รอบด้าน มีร้านขายของที่ระลึกและอาหารว่าง มีการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับเมืองสุพรรณบุรี ทั้งด้านประวัติศาสตร์ วรรณคดี ศิลปวัฒนธรรม ชีวิตความเป็นอยู่ รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ และเรื่องราวน่ารู้ของของจังหวัดสุพรรณบุรีไว้ทั้งหมด

อาคารชั้น1
ชมภาพจิตรกรรมขุนช้างขุนแผน และสินค้าที่ระลึก
อาคารชั้น2
นั่งพักผ่อนสบายๆ กับอาหารว่าง ไอศกรีม และเครื่องดื่ม ชมทิวทัศน์ของบริเวณรอบๆสวน
อาคารขั้น3
จำหน่ายของที่ระลึก และเป็นจุดชมวิวของตัวเมืองสุพรรณบุรี
อาคารชั้น4
ชมทิวทัศน์ของจังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดใกล้เคียง ด้วยกล้องส่องทางไกล และชมภาพจิตรกรรมเรื่องราวของ สมเด็จพระนเรศวร และภาพสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดสุพรรณบุรี

สวนเฉลิมภัทรราชินี
                    บนเนื้อที่ 17 สวนสาธารณะที่งดงดงามแห่งนี้ สร้างเพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ในวโรกาสครบ 60 พระพรรษา บริเวณสวนประดับด้วยดอกไม้นานาพันธุ์  สวนปาล์ม สวนน้ำพุ ธารน้ำตก สไลเดอร์ สนามเด็กเล่น เพลิดเพลินกับลีลาของน้ำพุดนตรี ที่โลดเล่นตามจังหวะของดนตรี
 
เวลาปิด-เปิด และเข้าชมดังนี้ 
วันเสาร์ - อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์  10.00 - 20.30 น.
วันอังคาร - ศุกร์  10.00 - 19.00 น. หยุดทุกวันจันทร์ (ยกเว้นวันนักขัตฤกษ์) 
 
ค่าเข้าสวนเฉลิมภัทรราชินี  ผู้ใหญ่ 10 บาท เด็ก 5 บาท
ค่าขึ้นชมหอคอยบรรหาร-แจ่มใส ผู้ใหญ่ 30 บาท เด็ก 15 บาท 
เวลา 10.00-18.00 น. หลังเวลา 18.00 น. ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท

น้ำพุดนตรี และผาน้ำตก
วันศุกร์ เวลา 17.00 - 19.00 น. 
วันเสาร์ - อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ 
รอบเที่ยงเวลา 12.00 – 14.00 น. 
รอบเย็นเวลา 17.00 – 19.00 น.

สวนน้ำสไลเดอร์
เวลาปิด-เปิด และเข้าชมดังนี้ 
วันเสาร์ - อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์  10.00 - 18.00 น.
วันอังคาร - ศุกร์  15.00 - 18.00 น. (เปิดเฉพาะช่วงปิดเทอม)
ค่าสวนน้ำสไลเดอร์ ผู้ใหญ่ 50 บาท เด็ก 30 บาท ค่าเช่าชุดว่ายน้ำ เด็ก 25 ผู้ใหญ่ 50

4. บึงฉวากเฉลิมพระเกียรติ 



                    บึงฉวากเฉลิมพระเกียรติ เป็นบึงน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 2,700 ไร่ อยู่ห่างจากตัวเมืองสุพรรณบุรีประมาณ 64 กิโลเมตร บึงฉวากมีพื้นที่ติดต่อกับอำเภอหันคา จังหวัดชัยนาทและอำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี ส่วนที่อยู่ในเขตอำเภอเดิมบางนางบวชมีพื้นที่ประมาณ 1,700 ไร่ บึงฉวากได้รับประกาศให้เป็นเขตห้ามล่าสัตว์มาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2526 และในปี พ.ศ. 2541 ได้รับการจัดให้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับชาติ ตามอนุสัญญาแรมซาร์ที่ประเทศไทยเป็นภาคี เนื่องจากความหลากหลายของพันธุ์พืชและสัตว์ที่มีในบึง ลักษณะที่เรียกว่าเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำตามอนุสัญญาแรมซาร์ คือพื้นที่ลุ่ม พื้นที่ราบลุ่ม พื้นที่ลุ่มชี้นแฉะ พื้นที่ฉ่ำน้ำ มีน้ำท่วม น้ำขัง พื้นที่พรุ พื้นที่แหล่งน้ำ ทั้งที่เกิดเองตามธรรมชาติและที่มนุษย์สร้าง ทั้งที่มีน้ำขังหรือน้ำท่วมถาวรหรือชั่วคราว ทั้งแหล่งน้ำนิ่งและน้ำไหล แหล่งน้ำจืด น้ำกร่อยและน้ำเค็ม รวมไปถึงชายฝั่งทะเลและทะเลในบริเวณซึ่งเมื่อน้ำลดต่ำสุด   น้ำลึกไม่เกิน 6 เมตร ซึ่งบึงฉวากเข้าข่ายลักษณะดังกล่าว คือเป็นบึงน้ำจืดที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีความลึกเฉลี่ยประมาณ 1 – 3 เมตร     
 
สถานที่ท่องเที่ยวภายในบึงฉวาก

โซนสวนสัตว์ 
                    ศูนย์พัฒนาการจัดการสัตว์ป่าบึงฉวาก สร้างขึ้นเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสทรงครองราชย์เป็นปีที่ 50  ประกอบด้วย อาคารศูนย์บริการนักท่องเที่ยว จัดนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับการ เพาะเลี้ยงสัตว์ป่าชนิดต่างๆ การดูนก สภาพทางภูมิศาสตร์ ประวัติความเป็นมาของบึงฉวาก มีตู้จำลองระบบนิเวศ  ห้องฉายสไลด์วีดิทัศน์ ด้านนอกอาคารมี กรงเลี้ยงนก ขนาดใหญ่ มีพื้นที่ประมาณ 5 ไร่ สูง 25 เมตร ภายในกรงได้รับการตกแต่งให้ดูคล้าย สภาพธรรมชาติ ประกอบด้วยนกกว่า 45 ชนิด ที่น่าสนใจ ได้แก่ นกกาบบัว  นกเป็ดแดง ไก่ฟ้าพญาลอ และ ไก่ฟ้าสีทอง ซึ่งกล่าวกันว่า เป็นไก่ฟ้าที่มีความสวยงามที่สุดในโลก มีการจำลองน้ำตกขนาดเล็กเอาไว้ภายในกรง ผู้เข้าชมจะเดินตามทางเดินที่จัดไว้ และได้สัมผัสใกล้ชิดกับนกต่าง ๆ ที่ปล่อยให้มีชีวิตอยู่ในสภาพแบบธรรมชาติ เดินผ่านหน้าเราไป หากเดินถัดไปจากกรงนก จะเป็นกรงเสือขนาดใหญ่ กรงเสือขนาดเล็ก มีเสือชนิดต่าง ๆ ให้ชมและ ที่พิเศษคือ มีลูกเสือดูดนมหมู และสัตว์สวยงามอีกหลายชนิด
1. เขตห้ามล่าสัตว์ป่า 
2. กรงเสือและกรงสิงห์โต ลักษณะภายในตกแต่งเป็นถ้ำและเนินหิน ให้ดูคล้ายสภาพธรรมชาติ ซึ่งเป็นกรงเลี้ยงสัตว์ป่าตระกูลแมว อันได้แก่ สิงโต เสือโคร่ง เสือลายเมฆ เสือดาว แมวดาว เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีกรงสัตว์ป่าหายากอีกหลายประเภท ที่จัดแสดงไว้ เช่น นกน้ำ นกยูงและไก่ฟ้าชนิดต่างๆ ม้าลาย อูฐ และนกกระจอกเทศ 
3. สถานที่ถ่ายภาพร่วมกับสัตว์ เด็กจะได้สนุกสนานกับการถ่ายภาพบนหลังม้า หรือถ่ายภาพคู่กับลิงอุรังอุตัง เก็บไว้เป็นที่ระลึก
4. ศูนย์พัฒนาการจัดการสัตว์ป่า และกรงนกใหญ่ เดินชมภายในกรงนกใหญ่ ที่มีสภาพแวดล้อมคล้าย สภาพธรรมชาติ ชมพันธ์นกหายากกว่า 30 ชนิด เช่น นกยูง นกกาบบัว เป็ดแดง
5. เกาะกระต่าย พื้นที่คล้ายเกาะ สร้างเป็นที่พักของกระต่าย 2 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์เจอร์ซี่ วูลลี่ และสายพันธุ์แองโกร่า ที่มีความน่ารักและสวยงาม รวมทั้งยังมีกวางดาว เนื้อทราย และจากสาเหตุที่เป็นเกาะมีพื้นที่น้ำล้อมรอบ จึงเลี้ยงปลาไว้ในกระชังอีกจำนวนมาก เพื่อให้ผู้คนได้พักผ่อนอีกประเภทหนึ่ง โดยการให้อาหาร เช่น ปลาทอง ปลาคาร์ฟ ปลาสวายเผือก ฯลฯ ศูนย์พัฒนาการจัดการสัตว์ป่าบึงฉวาก เปิดทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 08.00-16.30 น. เสาร์-อาทิตย์ เวลา 08.00-18.00 น. 
6. ศูนย์รวมพันธุ์ไก่ และกรงสัตว์หายาก เป็นสถานที่รวบรวมพันธุ์ไก่ชนิดต่างๆ ทั้งสวยงาม และหายาก เช่น ไก่ฟ้าหลังขาว ไก่ฟ้าสีทอง ไก่ฟ้าพญาลอ และสัตว์หายากอีกหลายชนิด(ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 5 บาท)
7. อุทยานผักพื้นบ้านเฉลิมพระเกียรติ อยู่ในความดูแลของกรมส่งเสริมการเกษตร จัดตั้งขึ้นเพื่อสร้างจิตสำนึก ให้ประชาชนทั่วไปเห็นคุณค่าและอนุรักษ์ผักพื้นบ้าน โดยรวบรวมผักพื้นบ้านจากทั่วภูมิภาค ของประเทศไทยกว่า 500  ชนิด มาปลูกไว้ในบริเวณเกาะกลางบึงฉวาก มีทั้งสมุนไพร ไม้ยืนต้น ไม้เลื้อย และไม้ชื้นแฉะที่น่าสนใจได้แก่ น้ำเต้าสี่เหลี่ยม บวบหอมขนาดใหญ่ อุโมงค์น้ำพุ และการจัดสวนไม้ประดับด้วยผักพื้นบ้าน นอกจากนั้นยังมีโรงปลูกพืชระบบระเหยน้ำ และสาธิตการปลูกพืชไร้ดินจัดแสดงให้ชมด้วย และมีห้องสมุดบริการคอมพิวเตอร์ สำหรับค้นคว้าข้อมูลพันธุ์ผักต่าง ๆห้องนิทรรศการแสดงผลผลิตทางการเกษตร ศูนย์บริการท่องเที่ยวเกษตรอุทยานผักพื้นบ้าน เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 08.30-18.00 น. (ชมฟรี)
8. เรือจักรยานน้ำสำหรับครอบครัวได้ออกกำลังกาย กับธรรมชาติที่สวยงามภายในบึง

โซนสัตว์น้ำ
9. สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำบึงฉวาก(อุโมงค์ปลาน้ำจืด)ภายในอาคารแสดงพันธุ์สัตว์น้ำรวบรวมพันธุ์ ปลาน้ำจืด ปลาสวยงามและพันธุ์ปลาหายาก เอาไว้ให้ประชาชนได้ศึกษาแบ่งเป็น 2 อาคาร อาคารแสดงสัตว์น้ำหลังที่ 1 จัดแสดงพันธุ์สัตว์น้ำจืดและสัตว์น้ำเค็ม ทั้งพันธุ์ปลาไทย และพันธุ์ปลาต่างประเทศกว่า 50 ชนิด เช่น ปลาบึก ปลากระโห้ ปลาม้า ปลากราย ปลาช่อนงูเห่า ปลาเสือตอ เป็นต้น อาคารแสดงสัตว์น้ำหลังที่ 2 ประกอบด้วยตู้ปลาขนาดใหญ่สวยงาม บรรจุน้ำได้กว่า 400 ลูกบาศก์เมตร และมีอุโมงค์ความยาวประมาณ 8.5 เมตร ผู้ชมสามารถเดินลอดผ่านใต้ตู้ปลา ได้บรรยากาศเหมือนอยู่ใกล้สัตว์น้ำ ซึ่งถือว่าเป็นอุโมงค์ปลาน้ำจืดแห่งแรก ของประเทศไทย มีนักประดาน้ำหญิงสาธิตการให้อาหารปลา นอกจากนั้นโดยรอบยังมีตู้ปลาน้ำจืดอีก 30 ตู้ และตู้ปลาทะเลสวยงามอีก 7 ตู้ การแสดงตู้ปลาใหญ่มีเฉพาะวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ มี 4 รอบ ตั้งแต่เวลา 10.30 – 16.00 น.
10. บ่อจระเข้น้ำจืด เป็นบ่อจระเข้ที่ได้จำลองให้มีสภาพใกล้เคียงกับ ธรรมชาติมากที่สุด พื้นที่ประมาณ 3 ไร่ มีจระเข้น้ำจืดพันธุ์ไทยขนาด 1.5 – 4.0 เมตร ประมาณ 60 ตัว ซึ่งผู้ชมจะได้เห็นความเป็นอยู่ แบบธรรมชาติของจระเข้ และสามารถเข้าชมอย่างใกล้ชิด มีการแสดงจระเข้วันเสาร์ – อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์รอบ 11.00น. 12.30น. 14.00น. และ 15.30 น.
11. อาคารสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำหลังที่ 3 (สวรรค์แห่งโลกใต้ทะเล) จัดแสดงพันธุ์ปลาทะเลมากมายหลายชนิด ให้ได้ชมกัน มีตู้ปลาขนาดใหญ่ และตู้ปลารูปทรงแปลกตา เพื่อคอยบริการนักท่องเที่ยวให้ได้ชื่นชมกับ  ความสวยงาม และบรรยากาศของโลกใต้ทะเล รวมทั้งตื่นตาตื่นใจกับอุโมงค์ปลา และบันไดเลื่อน ขนาดความยาว 75 เมตร เพื่อให้ได้ศึกษาสภาพความเป็นอยู่ของสัตว์ทะเลอย่างใกล้ชิดรวมทั้งบ้านของเจ้าแห่งท้องทะเล หรือปลาฉลามอีกจำนวนมาก ภายอาคารในพบกับ
ตู้ปลาทรงกระบอก (Cylinder) ใหญ่และสูงที่สุดในเมืองไทย เปิดโลกใต้ทะเล (The Open Sea) ชมความงามของปลากระเบนนก ปลาฉลามครีบดำ ปลาค้างคาว ตู้ยักษ์ใต้สมุทร (Giant Groupter)พบปลาหมอทะเล ปลากระเบนท้องน้ำ เต่าทะเล และอุโมงค์ยาว 12.50 เมตร ตู้แนวประการัง (Coral reef)พบกับฝูงปลาขนาดใหญ่ ปลาปักเป้า ปลาผีเสื้อ ว่ายวนบนแนวประการังเทียมที่สีสันสวยสดงดงาม  ตู้ประการังสีฟ้าจากโอกินาวา (Okinava blue)เนรมิตประการังภายในตู้เปรียบเสมือนประการังแห่งท้องทะเลโอกินาวา อุโมงค์ปลาฉลาม (Shark Tunnel)ตื่นตากับฝูงปลาฉลามขนาดใหญ่ ฉลามเสือทราย ฉลาดเสือดาว ฉลามครีบดำ และอุโมงค์ยาว 16 เมตร กว้าง 6 เมตร ซึ่งเป็นอุโมงค์ปลาที่กว้างที่สุดในโลก ตู้สีสันสิมิลัน (Similan Cliff) ตกแต่งด้วยประการังสีชมพู กัลปังหาที่สวยงาม และปลาสีสันสวยงามหลากหลายชนิด การแสดงการให้อาหารปลาฉลามมีทุกวัน วันละ 1 รอบ ตั้งแต่ เวลา 14.00 น.

                    สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำบึงฉวากเฉลิมพระเกียรติ เปิดให้เข้าชมทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ วันจันทร์ - วันศุกร์เปิดเวลา 08.30 - 16.30 น.วันเสาร์ - วันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์เปิดเวลา 08.30 - 17.00 น. ค่าเข้าชมอาคารหลังที่ 1 อาคารหลังที่ 2 ชมบ่อจระเข้ ผู้ใหญ่ 30 บาท เด็ก 10 บาท ค่าเข้าชมอาคารหลังที่ 3 (สวรรค์แห่งโลกใต้ทะเล) ผู้ใหญ่ 150 บาท เด็ก 50 บาท

เบอร์ติดต่อ  

                    035-430-043 , 035-430-044
                    035-430-109 , 035-430-111

5.วัดไผ่โรงวัว



                    ตั้งอยู่ที่ ตำบลบางตาเถร ห่างจากตัวจังหวัดสุพรรณบุรี ประมาณ 43 กิโลเมตร หรือจากกรุงเทพฯ ประมาณ 70 กิโลเมตร  ตามเส้นทางสายตลิ่งชัน-สุพรรณบุรี มีทางแยกซ้ายก่อนถึงสามแยกลาดบัวหลวงเข้าสู่วัดไผ่โรงวัว  วัดนี้สร้างเมื่อ พ.ศ. 2469 เป็นวัดที่มีพุทธ-ศาสนิกชน และบุคคลทั่วไป นิยมไปเที่ยวชมกันมาก หลวงพ่อขอม  ได้ดำเนินการก่อสร้าง “พระพุทธโคดม” เป็นพระพุทธรูปโลหะสำริดองค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย  เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2502 ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 17 ปี  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงยกพระเกตุมาลา เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2512 

                    ภายในวัดมีสิ่งก่อสร้างเกี่ยวกับพุทธศาสนา ได้แก่  “สังเวชนียสถาน 4 ตำบล”  คือสถานที่ที่พระพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนา และปรินิพพาน  กับงานประติมากรรมหรือภาพปั้นเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัตินรกภูมิ  รวมทั้งวรรณคดีและประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ยังมี  “พระธรรมจักร”  หล่อด้วยทองสำริดใหญ่ที่สุดในโลก  “พระกะกุสันโธ”  พระพุทธรูปปูนปั้นขนาดใหญ่ที่สุดในโลก “ฆ้องและบาตร” ใหญ่ที่สุดในโลก  “พระวิหารร้อยยอด” รวมทั้งสิ่งก่อสร้างอื่นๆ อีกมากมาย

6.อุทยานแห่งชาติพุเตย



                    ดินแดนแห่งขุนเขา ป่าหนึ่งเดียวที่สมบูรณ์ที่สุดของเมืองสุพรรณ เป็นชายป่าผืนสุดท้ายของป่าห้วยขาแข้ง เป็นสถานที่ที่เหมาะกับนักเดินทางทีหลงใหลในธรรมชาติ ความสงบเงียบ ป่าเขา น้ำตก ความงดงามงามของดวงอาทิตย์ยามเช้า ไอหมอก ความหนาวเย็น และวิถีชีวิตของชนชาวกระเหรี่ยง
สถานที่กางเต็นท์มี 3 จุดใหญ่ๆ ได้แก่
  - หน่วยพิทักษ์อุทยานฯ พุเตยที่ 1 (ด้านวังคัน-ป่าขี)
  - ที่ทำการอุทยานฯ พุเตย (ด้านปลักประดู่-ห้วยหินดำ)
  - หน่วยพิทักษ์อุทยานฯ พุเตยที่ 3 ตะเพินคี่ 
    (ด้านปลักประดู่-ตะเพินคี่)
     
สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในเขต อุทยานแห่งชาติพุเตย
ป่าสนสองใบธรรมชาติ หน่วยพิทักษ์อุทยานฯ พุเตยที่ 1
                    มีประมาณกว่า 1,300 ต้น  อยู่บนเทือกเขาพุเตยเป็น ป่าแปลกมหัศจรรย ์เพราะป่าสนจะเจริญเติบโตในพื้นที่ภูเขาสูงชัน มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,000 เมตรขึ้นไป แต่ป่าสนแห่งนี้เจริญเติบโตบนพื้นที่ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลเพียง 763 เมตรเท่านั้นสภาพป่าสมบูรณ์มาก จนได้รับเลือกให้เป็นศูนย์แม่พันธุ์ไม้สนสองใบในภาคกลาง บางต้นมีขนาดใหญ่วัดได้ถึง 2-3 คนโอบ ห่างจากที่ทำการหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ ที่ 1 (พุเตย) ประมาณ 12 กิโลเมตร
 
หมู่บ้านกระเหรี่ยงตะเพินคี่ หน่วยพิทักษ์อุทยานฯ พุเตยที่ 3 ตะเพินคี่ 
                    เป็นป่าที่สวยงาม และเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านกะเหรี่ยง ชนกลุ่มน้อยที่อาศัยมากว่า 200 ปี ผืนป่า และต้นน้ำตะเพินคี่ ยังคงสภาพสมบูรณ์ เหมาะแก่การท่องเที่ยวเชิงผจญภัยล่องไพร เป็นดินแดนแห่งความหนาวเย็น ในหน้าหนาวอุณหภูมิจะลดลง 5-6  ํC ยอดเขาเทวดา ที่ความสูงกว่า 1000 เมตร ในวันที่อากาศเหมาะสม นักท่องเที่ยวอาจจะได้ชมทะเลหมอกที่สวยงาม และไปยืนจุดที่เป็น ดินแดนรอยต่อของสามจังหวัด สุพรรณบุรี-อุทัยธานี-กาญจนบุรี  การเดินทาง หน้าฝนควรเป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อ ส่วนหน้าแล้งรถยนต์นั่งธรรมดาก็สามารถไปได้ แต่ควรเป็นรถกระบะ

น้ำตกตะเพินคี่น้อย 
                    เป็นน้ำตกขนาดเล็กอยู่ใกล้กับหมู่บ้านตะเพินคี่ มีน้ำไหลตลอดปี เป็นความงดงามทางธรรมชาติ ที่คนภายนอกไม่ค่อยได้มีโอกาสไปสัมผัส เหมาะสำหรับผู้ที่รักการเดินทางแบบผจญภัยเล็กๆ
น้ำตกตะเพินคี่ใหญ่ 
                    เป็นน้ำตกขนาดเล็กมีสองชั้น ความสูงประมาณชั้นละ 5-6 เมตร มีน้ำไหลตลอดปี เพราะเป็นต้นน้ำและบ่อน้ำผุด ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และยังมีถ้ำที่สวยงามที่ยังอยู่ระหว่างการสำรวจ


เครดิต : http://www.suphan.biz

 

 

หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง