1.สะพานข้ามแม่น้ำแคว
ใครที่มาเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรีต้องมาที่สะพานข้ามแม่น้ำแคว ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดกาญจนบุรีเลยก็ได้
บริการเสริม
ที่สะพานข้ามแม่น้ำแคว มีบริการรถราง Fairmong ทุกวัน โดยวันธรรมดา จะมีตั้งแต่เวลา 08.00-10.30 น., 11.20-14.00 น., 15.00-16.00 น., และ 18.00-18.30 น. วันเสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 08.00-09.30 น., 11.20-14.00 น., และ 18.00-18.30 น.
งานสัปดาห์สะพานข้ามแม่น้ำแคว
งานสัปดาห์สะพานข้ามแม่น้ำแควจัดในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคมของทุกปี เพื่อรำลึกถึงความสำคัญของการ สร้างทางรถไฟสายมรณะ และสะพานข้ามแม่น้ำแคว ซึ่งเป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการแสดง นิทรรศการในทางประวัติศาสตร์ และโบราณคดี การแสดงพื้นบ้าน การออกร้านจำหน่ายสินค้าพื้นเมือง และการแสดง แสง สี เสียง บริเวณสะพานข้ามแม่น้ำแคว
ประวัติ
สะพานข้ามแม่น้ำแควเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่งแห่งหนึ่ง เป็นสะพานที่สำคัญที่สุดของเส้นทางรถไฟสายมรณะ สร้างขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยกองทัพญี่ปุ่นได้เกณฑ์เชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตร ได้แก่ ทหารอังกฤษ อเมริกัน ออสเตรเลีย ฮอลันดา และนิวซีแลนด์ประมาณ 61,700 คน สมทบด้วยกรรมกรชาวจีน ญวน ชวา มลายู ไทย พม่า และอินเดีย อีกจำนวนมาก มาก่อสร้างทางรถไฟสายยุทธศาสตร์ เพื่อเป็นเส้นทางผ่านไปสู่ประเทศพม่า ซึ่งเส้นทางช่วงหนึ่งจะต้องข้ามแม่น้ำแควใหญ่ จึงต้องมีการสร้างสะพานขึ้น การสร้างสะพานและทางรถไฟสายนี้ เต็มไปด้วยความยากลำบาก ความทารุณของสงครามและโรคภัย ตลอดจนการขาดแคลนอาหาร ทำให้เชลยศึกหลายหมื่นคนต้องเสียชีวิตลง
สะพานข้ามแม่น้ำแควใช้เวลาสร้างเพียง 1 เดือน โดยนำเหล็กจากมลายูมาประกอบเป็นชิ้น ๆ ตอนกลางทำเป็นสะพานเหล็ก 11 ช่วง หัวและโครงสะพานเป็นไม้ มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2486 ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2487 ได้ถูกทิ้งระเบิดหลายครั้งจนสะพานหักท่อนกลาง ภายหลังสงครามสิ้นสุดลง รัฐบาลไทยได้ซ่อมแซมใหม่ด้วยเหล็กรูปเหลี่ยม เมื่อปี พ.ศ. 2489 จนสามารถใช้งานได้ ปัจจุบัน มีการยกย่องให้เป็น สัญลักษณ์แห่งสันติภาพ
2.Westwonder Waterpark
สวนน้ำเปิดใหม่และใหญ่ที่สุดของจังหวัดกาญจนบุรีที่พึ่งเปิดตัวเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ระยะทางห่างจากสะพานข้ามแม่น้ำแควเพียง 2 กิโลเมตร สำหรับราคามีการสนนราคาที่ ผู้ใหญ่ 300 บาท เด็กสูงไม่เกิน 130 เซนติเมตร ราคาอยู่ที่ 100 บาท ส่วนเด็กที่สูงเกินกำหนดราคาจะเท่ากับผู้ใหญ่ สำหรับใครที่มาแล้วลืมเอาชุดว่ายน้ำไปด้วยที่นี่ก็มีบริการให้เช่าชุดว่ายน้ำ หลังจากที่เราจ่ายค่าเข้าจะได้ริชแบนด์เพื่อเอาไว้จับจ่ายซื้อของในสวนน้ำผ่านตัวริชแบนด์เลย สำหรับไฮไลด์ของสวนน้ำนี้ต้องยกให้ อโลฮ่ายักษ์ สไลเดอร์ที่สูง และแสนจะคดเคี้ยว สำหรับใครที่ไม่ชอบความเสียว ทางสวนน้ำมีน้ำตกจำลอง และสระน้ำวนขนาดให้ได้แช่น้ำกันเพลินๆอีกด้วย สำหรับเด็กๆสวนน้ำก็มีการจัดโซนไว้ให้เป็นสไลเดอร์สำหรับเด็ก ถังน้ำขนาดยักษ์ที่จะคอยสาดน้ำใส่เด็กๆให้ได้สนุกสนานกันตามภาษาเด็กๆ
เปิดบริการทุกวัน จันทร์-ศุกร์ เปิดบริการตั้งแต่ 10.00-18.00 น. เสาร์-อาทิตย์ เปิดบริการตั้งแต่ 10.00-19.00 น.
ที่ตั้ง : 99/9 ม.4 ต.ท่ามะขาม เมืองกาญจนบุรี กาญจนบุรี 71000
สอบถามเพิ่มเติม : 086 469 3355
Facebook : Westwonder-waterpark-กาญจนบุรี
3.วัดป่าหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน หรือ วัดเสือ
สำหรับใครที่อยากทำบุญแต่ไม่ใช่แค่กับพระแต่ในวัดนี้ยังมีเสืออีกเพียบให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปกันอีกด้วย
ประวัติ
วัดนี้ได้สถาปนาขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2537 โดยเริ่มจากชาวบ้านช่วยลูกเสือซึ่งแม่มันถูกฆ่าจากนายพรานและนำมาที่วัด เจ้าอาวาสรับไว้ในขณะที่ไม่มีใครรับ และเอาใจใส่เลี้ยงดูเหมือนเป็นลูก ๆ จึงเป็นที่มาของวัด โดยตั้งใจให้เป็นที่พักพิงของสัตว์ป่าที่บาดเจ็บหรือขาดพ่อแม่ทั้งหลาย และได้รับการเลี้ยงดูแบบชาวพุทธที่ดี เช่น เมื่อบรรดาเสือแสดงอากัปกิริยาที่ไม่ดีมีการร้องคำรามขู่ พระที่เลี้ยงก็จะเอาน้ำสาดจากขวดพลาสติก หรือหาอะไรปิดตาเสือเหล่านี้ไว้ เมื่อมีวัวหรือแพะเดินผ่านมาใกล้ ๆ
เสือในวัดเป็น เสือโคร่งอินโดจีน (Panthera tigris corbetti) ซึ่งเสือโคร่งที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย, ลาว, พม่า, กัมพูชา, เวียดนาม, มาเลเซีย และจีนด้านตะวันออก มีจำนวน 17 ตัวที่วัด เป็นเสือกำพร้าที่ได้ช่วยชีวิตมาจากป่าเจ็ดตัว และอีกสิบตัวเกิดที่วัดนี้ (ข้อมูล เดือนธันวาคม 2548)
นิตยสารไทม์ฉบับวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ได้ยกย่องให้วัดป่าหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดสำหรับการอยู่ร่วมกันโดยสันติ ซึ่งหมายถึงการที่ทางวัดสามารถนำเสือที่เป็นสัตว์ดุร้ายมาอยู่ร่วมกับคนได้โดยไม่เกิดอันตราย ปี 2558 วัดป่าหลวงตามหาบัวเสียชื่อแล้วโดยมีการพบซากเสือ 40 ตัว เก็บไว้เตรียมใช้ทำเครื่องราง เบื้องหน้าเบื้องหลังปฏิบัติการย้ายเสือของกลาง 137 ตัว จาก วัดป่าหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน หรือวัดเสือ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี นำไปดูแลที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาประทับช้าง และที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาสน อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ถูกขยายประเด็นออกไปหลายทิศทาง โดยเฉพาะการพบซากลูกเสือ 40 ซาก ถูกดองและแช่แข็งพร้อมกับสัตว์ป่าสงวนหลายชนิดในวันแรก และตามด้วยการพบลูกเสือโคร่งดองเพิ่มอีก 30 ซาก พร้อมหนังเสือโคร่ง 2 ผืน เขากระทิง เขากวาง เขี้ยวเสือโคร่ง ตะกรุดหางเสือและเครื่องรางของขลังกว่า 1,000 ชิ้น นำไปสู่การตรวจสอบสแกนว่า วัดแห่งนี้เกี่ยวข้องกับขบวนการค้าเสือข้ามชาติหรือไม่
ตั้งอยู่ ณ ตำบลสิงห์ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี
4.เขื่อนศรีนครินทร์
ใครที่อยากพักผ่อนแบบสงบๆ ชมวิว ล่องแพร นอนบนแพร กินอาอาหารบนแพร ชมทัศนียภาพ และธรรมชาติ รอบๆเขื่อนผลิตไฟฟ้า ขอแนะนำที่นี่เลยคุณจะได้พบกับบรรยากาศที่คุณกำลังตามหาแน่นอน
ประวัติ
เขื่อนศรีนครินทร์ (ชื่อเดิม เขื่อนเจ้าเณร) เป็นเขื่อนอเนกประสงค์แห่งแรกของโครงการพัฒนาลุ่มน้ำแม่กลอง สร้างขึ้น บนแม่น้ำแควใหญ่ บริเวณบ้านเจ้าเณร ตำบลท่ากระดาน อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี กั้นแม่น้ำแควใหญ่นับเป็น เขื่อนแห่งที่ 8 ในจำนวน 17 แห่ง ที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) สร้างขึ้นเพื่อ อำนวยประโยชน์ทางด้านต่างๆ ตลอดจนช่วยพัฒนาชีวิต ความเป็นอยู่ของราษฎร และส่งเสริมให้เป็น แหล่งท่องเที่ยวที่สวยงาม
เขื่อนศรีนครินทร์ก่อกำเนิดขึ้นเพื่ออำนวยประโยชน์ต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน และการพัฒนาประเทศ ปัจจุบันได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว และสถานที่พักผ่อนที่สำคัญแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี แต่ละปีจะมีนักทัศนาจรหลั่งไหลเข้าไปเที่ยวชมอย่างมากมาย นับเป็นสถานที่เชิดหน้าชูตาของประเทศไทยอีกแห่งหนึ่ง
ลักษณะเขื่อนและโรงไฟฟ้า
เขื่อนศรีนครินทร์เป็นเขื่อนประเภทหินถมแกนดินเหนียวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีความสูงจากฐานราก 140 เมตร สันเขื่อนยาว 610 เมตร กว้าง 15 เมตร พื้นที่อ่างเก็บน้ำ 419 ตารางกิโลเมตร มีความจุมากเป็นอันดับหนึ่งคือ 17,745 ล้านลูกบาศก์เมตร โรงไฟฟ้าเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก ติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจำนวน 5 เครื่อง เครื่องที่ 1-3 กำลังผลิต เครื่องละ 120,000 กิโลวัตต์ เครื่องที่ 4-5 เป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าระบบสูบกลับ กำลังผลิตเครื่องละ 180,000 กิโลวัตต์ รวมกำลังผลิตทั้งสิ้น 720,000 กิโลวัตต์
งานก่อสร้างเขื่อนศรีนครินทร์เริ่มเมื่อปี พ.ศ. 2516 แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2523 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เชิญพระนามาภิไธยสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีมาขนานนามเขื่อน และเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ไปทรงเปิดเขื่อนเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2524
5.ถ้ําละว้า
ถ้ำละว้า อีกหนึ่งถ้ำที่มีหินงอก หินย้อยที่งดงามน่าทึ่ง (ถ้ำละว้า เกิดจากน้ำฝนซึ่งมีคาร์บอนไดออกไซด์เป็นส่วนประกอบ เมื่อตกถึงพื้นดินก็จะทำปฏิกิริยาจนกลายเป็น กรดคาร์บอนิก น้ำที่ซึมลงใต้ดิน ก็จะกัดเซาะหินปูนเป็นโพรงเชื่อมต่อกัน เมื่อน้ำใต้ดินลดลง จึงเกิดถ้ำขึ้นมา) เส้นทางสู่ถ้ำละว้าเดินทางไม่ลำบากมากนักเพราะเป็นถนนลาดยางตลอดทั้งสาย และร่มรื่นด้วยต้นไม้ตลอดสองข้างทาง บรรยากาศดีและสบายตาไปกับสีเขียวของต้นไม้
หลังจากที่ทีมงานเดินทางมาถึงก็จอดรถไว้ด้านนอกทางเข้า ชำระค่าธรรมเนียมเรียบร้อยก็ได้เวลาเดินทางเข้าถ้ำเสียที เห็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติถ้ำละว้า เป็นบันไดเรียบร้อยดูแล้วก็ไม่ไกล แต่เดินทำเอาลิ้นห้อยเหมือนกันแฮะ เหนื่อยจัง เมื่อลงมาถึงจะพบกับห้องโถงกว้างทางซ้ายมือมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ จึงแวะเก็บภาพและไหว้พระขอพรกันสักเล็กหน่อยก่อนเริ่มเดินเข้าตัวถ้ำจริง ๆ เส้นทางเดินของถ้ำละว้านั้น เข้า และ ออก ทางเดียว เส้นทางการเดินชมถ้ำละว้า ห้องต่าง ๆ จัดได้อย่างเป็นระเบียบ และมีไฟเปิดให้ตลอดสองข้างทาง และมีป้ายบอกชื่อห้องชัดเจนไม่มืด แต่ถ้าหากชอบสว่าง ๆ และได้ไอเดียในการจินตนาการให้มากขึ้นมาอีกหน่อยขอใช้บริการเจ้าหน้าที่นำทางตัวน้อยพร้อมไฟฉายได้นะคะ
- ห้องแรกที่พบก็คือ ห้องหนุมาน(จากปากถ้ำประมาณ 45 เมตร) พยายามมองตามเต็มที่แต่ยังจินตนาการไม่ค่อยออก หรือจะเป็นตอนหนุมานอ้าปากในตอน หนุมานอมพลับพลาหรือเปล่าก็ไม่ค่อยแน่ใจ
- ห้องที่สอง ก็คือห้องจระเข้ (จากปากถ้ำประมาณ 95 เมตร) ตอนแรกทีมงานก็พยายามมองหากันว่าไอ้เจ้าจระเข้ที่ว่าอยู่ที่ไหน(เพราะวันนี้ไม่มีคนนำทาง) มองไปมองมา มองบน ล่าง ซ้าย ขวา ก็มาเจอว่าเจ้าจระเข้ ที่ว่าเนี่ยมันนอนอยู่บนเพดานถ้ำนั่นเอง เห็นแล้วก็น่าตกใจในความเหมือนจริง ๆ
- ห้องที่สาม ห้องดนตรี (จากปากถ้ำประมาณ 115 เมตร) ดูแล้วคล้าย ๆ เครื่องดนตรี แต่เจ้าหน้าที่ด้านล่างบอกว่าเคาะแล้วจะได้ยินเสียงต่างกันคล้ายเสียงดนตรี(แต่ทีมงานไม่ได้ลอง เพราะตอนนั้นคิดว่า เหมือนตัวออร์แกน เลยได้ชื่อนี้มา
- ห้องที่สี่ ห้องค้างคาว (จากปากถ้ำประมาณ 200 เมตร) ได้ชื่อมาจากว่ามีหินย้อยเล็ก ๆ มากมายจากบนเพดานถ้ำคล้ายเจ้าค้างคาวตัวจิ๋วห้อยหัว
- ห้องที่ห้า (จากปากถ้ำประมาณ 460 เมตร) และเป็นห้องสุดท้ายที่อยู่ในสุด คือห้องม่านบรรทม หินย้อยที่ไหลเรียงกันเป็นลอนไล่เรียงกันทั้งแบบบางและเป็นพุ่มหนาคล้ายม่านห้องนอน
หลังจากเดินเที่ยวชมจนทั่วแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางกลับ แม้ระยะทางไม่ไกลนักแต่เรียกเหงื่อได้ดีทีเดียว พอออกมาถึงได้รับลมเย็น ๆ อากาศสดชื่นก็ได้เวลาเดินทางกลับที่พักกันแล้ว
ข้อแนะนำ
- มีค่าธรรมเนียมเข้าชม ผู้ใหญ่คนละ 40 บาท เด็ก 20 บาท สำหรับคนไทย ถ้านำพาหนะเข้าไปก็มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม
6.สวนสัตว์เปิด ซาฟารี ปาร์ค แอนด์ แคมป์
สวนสัตว์เปิด แนวธรรมชาติ ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 500 ไร่ ห่างจากตัวเมืองกาญจนบุรีเพียง 28 กิโลเมตร เท่านั้น
ประวัติความเป็นมา
บนเนื้อที่ 500 ไร่ ตั้งอยู่ที่ 40/2 ต.หนองกุ่ม อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี เป็นสถานที่ตั้งสวนสัตว์เปิด ซาฟารี ปาร์ค ความเป็นมาของสวนสัตว์เปิดฯ เดิมทีพื้นที่แห่งนี้เป็นเหมืองพลอยของท่านประธาน คุณปัญญา ประสพสุขโชคมณี หลังจากยุติธุรกิจล้างแร่พลอยลง ท่านก็มีความประสงค์ที่จะทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อสังคม ด้วยความรักและเมตตาที่มีต่อสัตว์จึงได้ก่อตั้งสวนสัตว์เปิด ซาฟารี ปาร์ค ขึ้นมาเพื่อเป็นพื้นที่สีเขียวสำหรับเป็นแหล่งเรียนรู้ อนุรักษ์และขยายพันธุ์สัตว์นานาชนิด โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อให้เด็กๆนักเรียนนักศึกษารุ่นหลังได้มีโอกาสเรียนรู้และศึกษาถึงชีวิตสัตว์ต่างๆ รวมไปถึงสร้างงานสร้างได้ให้แก่ชุมชนบริเวณนี้ ปัจจุบันสวนสัตว์เปิดซาฟารี ปาร์ค ได้ดำเนินกิจการเข้าปีที่ 15 และมีโครงการเกี่ยวกับการศึกษา ในหลายๆ ด้าน สวนสัตว์เปิดซาฟารีปาร์คปัจจุบันได้บรรจุเป็น แหล่งเรียนรู้เขตพื้นที่การศึกษา 4 จ.กาญจนบุรี ทางสวนสัตว์เปิดฯ ได้เน้นถึงการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และธรรมชาติ นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสกับสัตว์ได้จริง คือ นักเรียน นักศึกษา และนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับสัตว์นานาชนิดอย่างใกล้ชิด ถึงขนาด “สามารถกอดคอยีราฟถ่ายรูปได้”ซึ่งมั่นใจว่าท่านจะไม่เคยได้สัมผัสที่ไหนมาก่อนอย่างแน่นอน และยังได้สนุกสนาน ตื่นเต้น เร้าใจ ไปกับการแสดงโชว์อีกด้วย สวนสัตว์เปิด ซาฟารี ปาร์ค แอนด์ แคมป์ มีด้วยกัน 2 โครงการ
โครงการที่ 1 สวนสัตว์เปิด แบ่งออกเป็น 8 โซนสัตว์
โซนที่ 1 กวางฟลอโลว์สีแฟนซี
โซนที่ 2 หมีควาย
โซนที่ 3 แบล๊คบัคและเนื้อทราย
โซนที่ 4 เสือโคร่ง
โซนที่ 5 สิงโตอัฟริกา
โซนที่ 6 เสือดาว
โซนที่ 7 กวางดาวอินเดีย กวางฟลอโลว์สีขาว นกอีมู
โซนที่ 8 ยีราฟ ม้าลาย ลามา นกกระจอกเทศ และนกฟลามิงโก้
นักท่องเที่ยวจะได้นั่งรถมินิบัสเข้าไปในโซนสัตว์ซึ่งมีทั้งหมด 8 โซน สัตว์ทุกตัวที่นี่จะเดินเข้ามาหานักท่องเที่ยวที่รถ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ป้อนอาหาร-ถ่ายรูป และสัมผัสได้ใกล้ชิดอย่างมาก ถึงขนาดว่าสามารถ "กอดคอยีราฟถ่ายรูป" ได้เลยทีเดียว หรือ "ป้อนอาหารด้วยปาก" ก็ยังได้ ทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกตื่นเต้น สนุกสนานมาก โซนสัตว์ที่อันตรายกรุณาอย่าเปิดกระจกนะครับ เช่น เสือ, สิงโต และ หมีควาย เค้าก็จะไม่เข้ามาใกล้หรือ ทำอันตรายแก่นักท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวสามารถนำรถส่วนตัวเข้าเที่ยวชมสวนสัตว์เปิด หรือใช้บริการรถมินิบัส ของทางสวนสัตว์ ซึ่งบริการฟรี
โครงการที่ 2 การแสดงโชว์
1. การแสดงโชว์ช้างแสนรู้
2. การแสดงโชว์จับจระเข้ด้วยมือเปล่า
3. ลานแสดงนกมาคอว์
เราเปิดการแสดงโชว์ทุกวัน ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หน้า การแสดงโชว์
นอกจากนี้ ยังมีจุด โชว์ที่ให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปสวยๆ คู่กับสัตว์อีกด้วย เช่น จุดถ่ายรูปเสือ จุดถ่ายรูปนกแก้วมาคอว์ ฯลฯ
ราคาบัตรผ่านประตู
ชาวไทย
ผู้ใหญ่ 200 บาท
เด็ก 100 บาท (ความสูงไม่เกิน 120 ซ.ม.)
หมายเหตุ : เด็กอายุไม่เกิน 3 ขวบไม่เสียค่าบัตรผ่านประตู
ชาวต่างชาติ
ผู้ใหญ่ 550 บาท
เด็ก 350 บาท
เปิดบริการทุกวันไม่มีวันหยุด ตั้งแต่เวลา 9.00 น. - 17.00 น.
ปัจจุบันทางสวนสัตว์เปิดได้ดำเนินโครงการด้านการศึกษา ในส่วนของเข้าค่ายพักแรมลูกเสือ ค่ายจริยธรรม และ ปฏิบัตธรรม เรามีสถานที่ พร้อมบรรยากาศกลิ่นไอธรรมชาติแบบป่าภาคตะวันตก
7.เมืองบาดาล
เมืองบาดาล หรือ วัดวังก์วิเวการามหลังเก่า อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของตำบลหนองลู อำเภอ สังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี สถานที่แห่งนี้เคยเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวอันซีนไทยแลนด์ (Unseen Thailand) ที่มีชื่อเสียงทั้งในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ
สำหรับ “วัดวังก์วิเวการาม”หรือ “วัดหลวงพ่ออุตตมะ” เป็นวัดที่หลวงพ่ออุตตมะ ร่วมกับชาวบ้านอพยพชาวกะเหรี่ยงและชาวมอญ ได้ร่วมกันสร้างขึ้น ในปี พ.ศ.2496 ที่บ้านวังกะล่าง อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ใกล้กับชายแดนไทย-พม่า ห่างจากอำเภอเมืองกาญจนบุรี ประมาณ 220 กิโลเมตร ในระยะแรกมีเพียงกุฏิและศาลา มีฐานะเป็นสำนักสงฆ์ แต่ชาวบ้านโดยทั่วไปเรียกว่า วัดหลวงพ่ออุตตมะ ตั้งอยู่บนเนินสูงในบริเวณที่เรียกว่า สามประสบ ซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำ 3 สาย คือแม่น้ำซองกาเลีย แม่น้ำบีคลี่ แม่น้ำรันตี ไหลมาบรรจบกัน ในปี พ.ศ.2505 ได้รับอนุญาตจากกรมการศาสนาให้ใช้ชื่อว่า วัดวังก์วิเวการาม ซึ่งตั้งตามชื่ออำเภอเดิม คืออำเภอวังกะ-สังขละบุรี ซึ่งต่อมาถูกยุบเป็นกิ่งอำเภอ ก่อนที่จะยกฐานะเป็น อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรีในปี พ.ศ.2508 ต่อมาปี พ.ศ. 2527 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้ก่อสร้างเขื่อนเขาแหลม หรือ เขื่อนวชิราลงกรณ์ ซึ่งเมื่อกักเก็บน้ำแล้ว น้ำในเขื่อนเขาแหลมจะเข้าท่วมตัวอำเภอสังขละบุรีเก่ารวมทั้งวัดนี้ด้วย จึงได้ย้ายวัดมาอยู่บนเนินเขา ส่วนวัดเดิมได้จมอยู่ใต้น้ำมานานนับสิบปี เหลือเพียงซากปรักหักพังของวัดและอาคารบ้านเรือน
ปัจจุบันอุโบสถหลังเก่าที่จมอยู่ใต้น้ำ ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น ซึ่งยามใดที่น้ำได้ลดระดับลง เมืองบาดาลทั้งเมืองก็จะเผยความงดงามของโบราณสถาน ให้ปรากฏแก่สายตาของผู้มา เยือนเสมอๆ หากนักท่องเที่ยวท่านใดที่ยังไม่มีโอกาสมาเยือนเมืองบาดาล แนะนำว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุด ซึ่งจะเห็นเมืองบาดาลได้คือ ระหว่างเดือนมีนาคมถึงเมษายนที่น้ำในเขื่อนลดลง ต่ำสุด