1. โครงการพัฒนาดอยตุง
” โครงการในพระราชดำริ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต
อนุรักษ์สืบสานศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณีของ
ชาวไทยภูเขาและชาวไทย ภาคเหนือให้คงอยู่ ตลอดไป “
จากแนวพระราชดำริของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อครั้งอดีต ทำให้วันนี้โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์
กลายมาเป็นแหล่งการเรียนรู้ที่เผยความงดงามทั้งทัศนียภาพ และวัฒนธรรมที่ได้รับการสืบสาน จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ผู้คนแวะเวียนมาสูดอากาศบริสุทธิ์ ชมนานาพรรณไม้ที่งอกงาม และสัมผัสทัศนียภาพอันร่มรื่นสบายตาอย่างไม่ขาดสาย
2. ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงผาตั้ง
” ศูนย์พัฒนาและส่งเสริมอาชีพให้แก่เกษตรกร
โดยเน้นการปลูกผักภายใต้โรงเรือนและลดการใช้สารเคมี “
ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงผาตั้ง ไม่เพียงเป็น แหล่งผลิตผลทางการเกษตรที่มีคุณภาพ ตลอดจนมีระบบ อนุรักษ์ดินและน้ำที่ดีเพียงเท่านั้น บ้านผาตั้งยังกลาย เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญในบทบาทชุมชนอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติแหล่งสำคัญของจังหวัดเชียงราย
ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงผาตั้ง มีการปรับพื้นที่ ภายในศูนย์ฯ สำหรับวางแผนทดสอบและสาธิตวิธีการ ปลูกผักและไม้เมืองหนาว รวมถึงการเลี้ยงสัตว์ได้แก่ กระต่าย แพะ ไก่กระดูกดำ และหมู เพื่อหล่อเลี้ยงชุมชน
ห้ามพลาด
3. ศูนย์วิจัยและพัฒนาชาน้ำมัน และพืชน้ำมัน
” จากเมล็ดชาหน้าตาคล้ายเกาลัดที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
ได้พระราชทาน ให้กับมูลนิธิชัยพัฒนา เพื่อศึกษาหาวิธีนำมาปลูกในไทยวันนี้
จึงเกิดศูนย์วิจัยและพัฒนาชาน้ำมันขึ้น เพื่อสานต่อพระราชดำริ “
ศูนย์วิจัยและพัฒนาชาน้ำมันและพืชน้ำมันที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชดำริให้จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2554 ปัจจุบันได้กลายเป็นอีกหนึ่งจุดหมายของนักท่องเที่ยว ที่สนใจในสุขภาพ เพราะที่นี่เป็นโรงงานผลิตน้ำมันจากเมล็ดชาและพืชน้ำมันอื่นๆ ที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติกว่า 150 ไร่
จุดเด่นของศูนย์ฯ ที่ไม่ควรพลาด คือ ร้านอาหาร “เมล็ดชา” ชื่อพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ที่นำเสนออาหารเหนือสไตล์โมเดิร์น และใช้น้ำมันชามาเป็นวัตถุดิบหลัก มี 2 เมนูพระราชทาน คือ โครเก็ตเบคอน แป้งขนมปังทอดไส้มันฝรั่งผสมหมูเบคอนบด และซุปมะเขือเทศ เปรี้ยวหวานกลมกล่อม สำหรับของหวานก็สร้างสรรค์ที่สุด ด้วยไอศกรีมอัญชันโยเกิร์ต ทุกจานขอการันตีว่ากินแล้ว รู้สึกดีกับมื้ออร่อยนี้อย่างแน่นอน
ห้ามพลาด
1. พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์
” ที่ประทับในโอกาส เสด็จพระราชดำเนิน แปรพระราชฐาน
และเพื่อรับรอง พระราชอาคันตุกะ “
หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยว ในจังหวัดเชียงใหม่ ที่มีทัศนียภาพสวยงามเสมือนจินตนาการที่เกิดขึ้นจริง สถาปัตยกรรมไทยประยุกต์ อันวิจิตรตั้งตระหง่านเหนือมวลดอกไม้เมืองหนาวนานาพันธุ์ และมีอากาศที่เย็นสบายตลอดทั้งปี
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ขึ้นบนดอยบวกห้า ตำบลสุเทพ เพื่อใช้เป็นที่ประทับในโอกาสเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐาน มาประทับแรมที่จังหวัดเชียงใหม่ และเพื่อรับรองพระราชอาคันตุกะ
ห้ามพลาด
2. ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงตีนตก
” พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชทาน ทรัพย์ส่วนพระองค์
เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ในการสร้างศูนย์ฯ เพื่อเสริมความรู้ ทางเกษตรให้กับ ชาวบ้าน “
จากที่เคยทำหน้าที่ศูนย์พัฒนาวิจัยพันธ์ุพืชแต่เพียงอย่างเดียว ณ ปัจจุบัน ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงตีนตก ได้กลายเป็นอีกหนึ่งปลายทางยอดนิยมในหมู่นักท่องเที่ยว ที่แสวงหาความบริสุทธิ์ของธรรมชาติและความอบอุ่น ในการดูแลต้อนรับขับสู้ของชาวบ้านในท้องถิ่น
นอกจากป่าไม้อันอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่ตะไคร้ ตำบลห้วยแก้ว อำเภอแม่ออน ลักษณะทางภูมิศาสตร์ ที่มีความลาดชันค่อนข้างสูง ทำให้เกิดวิวทิวทัศน์ที่ต้องตา ตรึงใจ เหมาะกับการพักผ่อนในช่วงวันหยุด ไม่ว่าจะเป็นฤดูกาลไหน
ห้ามพลาด
3. ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงม่อนเงาะ
” เมื่อเผชิญปัญหา พื้นที่ราบมีน้อย ทั่วบริเวณล้วนเป็น เทือกเขา
ยากต่อการ เพาะปลูก นักวิชาการเกษตรของโครงการหลวงจึงต้องทำงานหนัก
เพื่อค้นหาทางแก้ไขปัญหาด้านพื้นที่ทำกินของม่อนเงาะ “
เดิมเคยเป็นที่อยู่อาศัยของชาวเขา เผ่าม้ง ในพื้นที่เคยปลูกฝิ่นและชาวเขามีฐานะยากจน โครงการหลวงจึงเริ่มพัฒนาและส่งเสริมการปลูกผัก เนรมิตพื้นที่เทือกเขาแห้งแล้งให้กลับกลายเป็นอีกหนึ่งวิวงดงามให้ได้เยี่ยมชม
หลังจากได้รับการฟื้นฟูผืนป่าทำให้ดอยม่อนเงาะกลับมา เขียวชอุ่มและงดงามขึ้นอีกครั้ง กลายเป็นจุดท่องเที่ยวในฝันของนักท่องไพร ทางโครงการจัดเตรียมบ้านพักแสนสบายให้บริการ พร้อมร้านอาหารที่จัดเสิร์ฟอาหารพื้นเมืองคุณภาพดี แขกที่มาเยือนจะได้ความรู้เกี่ยวกับการเกษตรไปด้วยจากแปลงไม้ดอก และพืชผักต่างๆ รวมไปถึงไร่ชา ไร่กาแฟ ที่เรียงรายอย่างงดงาม
ห้ามพลาด
4. ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงห้วยลึก
” เริ่มจากฎีกา ของชาวเขา ที่ขอพระราชทานผืนดิน
ทำกินกับพ่อหลวง กลายเป็นโครงการหลวง
ที่สร้างรายได้และ อาชีพเกษตรกรรม ที่ยั่งยืนให้กับชาวเขา ทุกคน “
ชาวเขาเผ่าม้งได้อพยพหาที่ทำกินแห่งใหม่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้โครงการหลวงเข้าช่วยเหลือ ร่วมให้ความรู้เกี่ยวกับการบูรณะพื้นที่ทำกินบ้านห้วยลึก แม้จะใช้เวลานานในการปลูกป่าทดแทนและดูแลผืนป่า ในที่สุดพื้นที่ห้วยลึกก็กลับกลายเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ที่เต็มไปด้วยธรรมชาติสวยงาม เหมาะสมในการทำการเกษตร
โครงการหลวงห้วยลึก ครอบคลุมพื้นที่รับผิดชอบ 2 หมู่บ้าน ประกอบด้วย เผ่าม้ง กะเหรี่ยง และคนเมือง ภูมิประเทศส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นที่ราบ สลับกับหมู่ภูเขาที่ ทับซ้อนอย่างงดงาม และมีอากาศที่เย็น ทำให้เหมาะแก่การท่องเที่ยวสัมผัสธรรมชาติ และยังถูกจัดสรรเป็นพื้นที่สำหรับทำการเกษตรแบบยั่งยืน ที่ส่งเสริม วิจัยและ เพาะพันธุ์ให้กับเกษตรกรชาวไทยภูเขา มีทั้งสารพัน แปลงพืชเมืองหนาว
ห้ามพลาด
5. ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง)
” ศูนย์ศึกษา วิจัยพันธุ์พืชและ ไม้ผลเมืองหนาว
เพื่อถ่ายทอด องค์ความรู้และเทคโนโลยีให้กับเกษตรกร “
ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง) เป็นอีกหนึ่งจุดชมต้นนางพญาเสือโคร่ง หรือซากุระเมืองไทยแห่งสำคัญของเชียงใหม่ เพราะพื้นที่ ซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเล 1,100 เมตร ทำให้นอกจากจะได้ชื่นชมกับดอกนางพญาเสือโคร่งที่ผลิดอกสวยงามเต็มที่แล้วยังได้สัมผัสกับอากาศเย็นสบายในช่วงฤดูหนาวอีกด้วย
ตั้งอยู่ ระหว่างหมู่บ้านปกาเกอะญอและหมู่บ้านม้ง ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง อยู่ในวงล้อมของแนวเทือกเขาอินทนนท์ ตั้งขึ้นภายหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินมาที่บ้านขุนวางในปี พ.ศ. 2523 พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นการปลูกฝิ่นจำนวนมากของชาวบ้าน ทรงมีพระราชดำรัสให้ปรับปรุงพื้นที่แห่งนี้ ให้เป็นสถานที่ทดลอง ขยายพันธุ์ ส่งเสริม และถ่ายทอดเทคโนโลยีการปลูกพืชเมืองหนาวบนที่ราบสูงให้กับเกษตรกร ทดแทนการปลูกฝิ่น
ปัจจุบันภายในพื้นที่ของโครงการ คือแหล่งเพาะปลูกและวิจัยพืชพรรณและไม้ผลเมืองหนาว เช่น สาลี่ พลัม แมคคาเดเมีย เกาลัดจีน สตรอว์เบอร์รี เป็นต้น ทั้งยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ยอดนิยม เพราะมีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี
ห้ามพลาด
6. ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้
อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
” จากพระราชดำริ ที่ต้องการให้ศูนย์ฯ เป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์มีชีวิต
ที่ให้ประชาชนเข้ามาเรียนรู้ และนำไปปฏิบัติได้จริง “
จากเดิมที่เคยเป็นพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม กินพื้นที่กว้างใหญ่ถึง 8,500 ไร่ จากวันนั้นมาถึงวันนี้ กว่า 34 ปีแล้ว ที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจาก พระราชดำริ ได้มุมานะทำการศึกษาวิจัย พัฒนารูปแบบระบบชลประทาน พัฒนาแหล่งน้ำ ควบคู่ไปกับการพัฒนาป่าไม้และฟื้นฟูผืนดิน
ในวันนี้ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ ได้รับการขนานนามว่าเป็น พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต หรือสวนเพื่อการศึกษา ทุกคน จะได้รับความรู้ เกี่ยวกับการพัฒนาผืนป่าที่เข้าใจง่าย แถมยังสัมผัสได้ ถึงจิตวิญญาณของป่าใหญ่ ด้วยการก้าวย่างเข้าสู่การเดินป่า ท่ามกลางลุ่มน้ำห้วยฮ่องไคร้ ทั้งหมู่ป่าเต็งรังเคียงข้าง กับป่าเบญจพรรณแสนงดงาม ตามเส้นทางที่จัดทำไว้ ปิดท้ายด้วยการเข้าชมวิถีฟาร์มสไตล์ภาคเหนือ
ห้ามพลาด
7. สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง
” ทรงพลิกฟื้น จากภูเขาฝิ่น จนกลายเป็นพืชผักเมืองหนาวที่สวยงาม
และ น่าเที่ยวที่สุด ของเมืองไทย “
เมื่อลมหนาวมาเยือน ภาพของดอกไม้ เมืองหนาวสีสวย รวมทั้งดอกซากุระเมืองไทยที่บานสะพรั่ง ที่ช่วยแต่งแต้มภูเขาสีเขียวให้สวยงาม รวมทั้งพืชผักผลไม้นานาชนิด สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นแม่เหล็กสำคัญที่ดึงดูดใจ นักท่องเที่ยวจำนวนมากให้มาเยือนดอยอ่างขางในแต่ละปี จนหลายคนอาจจะลืมไปแล้วว่า ที่นี่เคยเป็นพื้นที่ปลูกฝิ่น ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย
สถานีเกษตรหลวงอ่างขางจึงเกิดขึ้น เพื่อใช้เป็นแปลงทดลอง ปลูกพืชผักเมืองหนาวคุณภาพดีแทนป่าฝิ่นดั้งเดิม สตรอว์เบอร์รี เป็นพืชพันธุ์ชนิดแรกๆ ที่นำมาทดลองปลูกที่นี่ จนได้พันธ์ุที่เหมาะสมกับเมืองไทย โดยใช้ชื่อว่า พันธุ์พระราชทาน
ห้ามพลาด
1. ศูนย์ภูฟ้าพัฒนา อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
” ศูนย์ศึกษาวิจัย และถ่ายทอดความรู้ พัฒนาและจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
ที่ยั่งยืนสู่จุดมุ่งหมาย คนอยู่ร่วมกับป่า “
ศูนย์ภูฟ้าพัฒนา ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โครงการศูนย์ภูฟ้าพัฒนาจังหวัดน่าน เป็นหนึ่งสถานที่น่าแวะเวียนมาเที่ยวชมและเรียนรู้วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านพื้นถิ่นอีกหนึ่งแห่งของจังหวัดน่าน
ที่นี่ใช้เป็นต้นแบบการพัฒนาและถ่ายทอดความรู้การพัฒนาไปสู่ราษฎรในพื้นที่เป้าหมายท้องที่อำเภอบ่อเกลือ และอำเภอเฉลิมพระเกียรติ ได้มีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี พร้อมประกอบอาชีพ อย่างเหมาะสมกับศักยภาพ ตลอดจนพัฒนาพื้นที่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ศึกษาธรรมชาติ และวัฒนธรรมท้องถิ่นแห่งสำคัญของจังหวัดน่าน
ห้ามพลาด
2. สถานีพัฒนาการเกษตรที่สูง
ตามพระราชดำริ บ้านสะจุก-สะเกี้ยง
” มีจุดมุ่งหมาย เพื่อเร่งฟื้นฟู สภาพป่าต้นน้ำบริเวณยอดดอยขุนน่าน
ให้มีความสมบูรณ์ ดังเดิม “
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชดำริให้สร้างโครงการสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงขึ้นในหมู่บ้าน เพื่อให้ความรู้เรื่องการทำนาแบบขั้นบันได เพื่อให้เหมาะกับภูมิประเทศ ทำให้เพิ่มผลผลิตและยังรายได้ที่มากขึ้นแก่ชาวบ้านและชาวเขาทุกคน
บรรยากาศอบอุ่นของการมาเยือนสถานีพัฒนาเกษตรที่สูงบ้านสะจุก-สะเกี้ยง ก็คือภาพชาวบ้านยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างมีความสุข เพราะสามารถทำผลผลิตได้มากขึ้น ทางโครงการฯ ยังส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกพืชผักเมืองหนาว ที่นักท่องเที่ยวชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็น สตรอว์เบอร์รี, ต้นหม่อนและผักปลอดสารพิษ และยังแนะนำการทำปศุสัตว์ใน ครัวเรือน อย่าง การเลี้ยงหมู ไก่ เป็ด แกะ และแพะ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัว อาจจะเดินทางลำบากสักนิด แต่ก็เป็นจุดหมายที่ทำให้ ได้สัมผัสกับวิถีชีวิตพื้นบ้านของชาวเหนืออย่างแท้จริง
ห้ามพลาด
ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงปังค่า
” ศูนย์พัฒนา โครงการหลวงปังค่า จัดตั้งขึ้น เพื่อสืบต่อ
การดูแลชาวเขาให้มี ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน “
เป็นโครงการหลวงหนึ่งเดียวในจังหวัดพะเยา เป็นโครงการพระราช ดำริ ที่รับผิดชอบดูแลพื้นที่กว่า 2 หมื่นไร่ ภูมิประเทศที่เป็นเนินเขาและภูเขาสูง รูปแบบการเกษตร จึงเป็นแบบเมืองหนาว มีแหล่งน้ำสำคัญคือ ลำน้ำแม่คะ และลำน้ำเงิน
ด้วยทัศนียภาพที่งดงามของบ้านปังค่า ซึ่งตั้งอยู่ภายในวนอุทยานแห่งชาติภูลังกา ทำให้ที่นี่ได้รับการขนานนามว่าเป็นกุ้ยหลินเมืองไทย และเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวมา เฝ้าชมพระอาทิตย์ตกที่ลานหินล้านปี
อีกหนึ่งความโดดเด่นของโครงการหลวงปังค่า ก็คือ วิถีชีวิตของชาวเขาเผ่าม้งและเผ่าเมี่ยน ทางศูนย์ฯ มีการจัดแสดงวัฒนธรรม ศิลปะและงานหัตถกรรมชาวเขา สร้างสีสันที่น่าประทับใจให้กับทริปท่องเที่ยวอีกด้วย
ห้ามพลาด
1. โครงการพัฒนาป่าไม้ตามพระราชดำริ ภูหินร่องกล้า
” แหล่งเรียนรู้การพัฒนาป่าไม้เพาะชำกล้าไม้หายากที่ควรอนุรักษ์
พันธุกรรมไว้เพื่อปลูกตามแนวพระราชดำริ “
ใครแวะเวียนมาสูดอากาศสดชื่นท่ามกลางภูเขาเขียวขจีสัมผัสอากาศเย็นสบายกันที่อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า จังหวัดพิษณุโลก ที่นี่ยังมีแหล่งเรียนรู้การพัฒนาป่าไม้และเพาะชำกล้าไม้หายาก อันเป็นโครงการตามแนวพระราชดำริที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
จัดตั้งขึ้นเพื่อการฟื้นฟูสภาพป่า เพาะชำกล้าไม้ และ ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับราษฎร ที่โครงการฯยังมีแปลงปลูกกาแฟสายพันธุ์อาราบิก้า แปลงสาธิต การปลูกสตรอว์เบอร์รีพันธุ์พระราชทาน ปลอดสารพิษ ซึ่งเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้อย่างใกล้ชิด
พื้นที่ในโครงการฯ มีแนวหินผาเป็นจุดชมวิวถึง 6 จุดสำคัญ ได้แก่ ผาไททานิค ผาพบรัก ผาบอกรัก ผาคู่รัก ผารักยืนยง และผาสลัดรัก สามารถยืนชมทิวทัศน์ผืนป่าเขียวชอุ่ม ไม่เพียงแค่ทุ่งดอกกระดาษและหน้าผาแห่งรักเท่านั้น ในช่วงฤดูหนาว ที่นี่ยังเป็นจุดชมดอกนางพญาเสือโคร่ง หรือซากุระเมืองไทยผลิบานอีกหนึ่งจุดด้วย
ห้ามพลาด
2. สวนพฤกษศาสตร์บ้านร่มเกล้า พิษณุโลก ในพระราชดำริ
” จากสมรภูมิรบ ในอดีต กลายเป็นแหล่ง ท่องเที่ยวสำคัญ
และแหล่งเรียนรู้พันธุ์ไม้ ท้องถิ่นที่ใกล้สูญพันธุ์และหาชมได้ยาก ของเมืองไทย “
สวนพฤกษศาสตร์บ้านร่มเกล้า พิษณุโลก ในพระราชดำริ เราสามารถมองเห็นดาวเต็มฟ้ายามค่ำคืน ตื่นเช้ามาพบสายหมอกลอยละล่องท่ามกลางขุนเขาเขียวขจี และพบกับจุดชมทิวทัศน์มุมกว้างที่งดงามแห่งหนึ่งของจังหวัดพิษณุโลก
ถูกจัดตั้งเป็นโครงการในพระราชดำริเพื่อพัฒนาให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติของจังหวัดพิษณุโลก ตามพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และเป็นสถานที่รวบรวมพันธุ์ไม้ท้องถิ่นที่ใกล้จะสูญพันธุ์และหาชมได้ยากเอาไว้มากมาย โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาวประมาณเดือนตุลาคมเป็นต้นไป ต้นกุหลาบพันปีที่หาชมได้ยาก และต้นค้ออายุร้อยปี ที่มองเห็นได้จากจุดชมวิวค้อเดียวดาย
มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติใกล้เคียงได้อย่าง น้ำตกชาติตระการ น้ำตกภูสอยดาว อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว และอุทยานแห่งชาติภูสวนทราย
ห้ามพลาด
1. ศูนย์บริการและพัฒนาที่สูงปางตอง ตามพระราชดำริ
” แหล่งท่องเที่ยว ตามรอยพระบาท
ยุทธศาสตร์ ด้านการพัฒนาและ ส่งเสริมอาชีพ “
ชื่นชมสายหมอกยามเช้า ที่ป่าสนริม อ่างเก็บน้ำปางอุ๋ง คือกิจกรรมท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับต้นๆ ของคนที่ได้มาเยือนแม่ฮ่อนสอน ซึ่งปางอุ๋งนั้นถือเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์บริการและพัฒนาที่สูงปางตอง ตามพระราชดําริ แต่ที่นี่ไม่ได้มีดีแค่ปางอุ๋งเท่านั้น ปัจจุบันมีการขยายพื้นที่โดยแบ่งเป็น โครงการพระราชดำริปางตอง 1 2 3 และ 4 เป็นศูนย์แห่งการเรียนรู้บนพื้นที่สูง และเป็นแหล่งท่องเที่ยวตามรอยพระบาทแห่งสำคัญ
ห้ามพลาด
2. ศูนย์บริการและพัฒนาลุ่มน้ำปาย
ตามพระราชดดำริ (ท่าโป่งแดง)
” ลุ่มน้ำปาย คือจุดแรกที่กรมชลประทาน ใช้พัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อมของแม่ฮ่องสอน ตามโครงการ ในพระราชดำริ
เป็น ศูนย์เรียนรู้สู่การขยายผล เพื่อชุมชน คนและป่า “
โครงการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ณ ศูนย์บริการและพัฒนาลุ่มน้ำปายแห่งนี้ เป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ซึ่งทำหน้าที่ เป็นพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติ เดินทางง่ายเพียงแค่ 10 นาทีจากตัวเมือง ก็จะได้สัมผัสธรรมชาติอากาศบริสุทธิ์ และ ยังเก็บเกี่ยวสารพันความรู้เกี่ยวกับการใช้ชีวิตตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง
เน้นการเรียนรู้ด้วยฐานต่างๆ 9 ฐาน ได้แก่ ด้านป่าไม้ การจัดการไฟป่า การจัดการน้ำดิน และปุ๋ย ข้าว พืช ประมง ปศุสัตว์ และการจัดการฟาร์ม นับเป็นอีกศูนย์การเรียนรู้ที่ให้ความรู้รอบด้านและ พร้อมสรรพอย่างแท้จริง
ห้ามพลาด